3、เมืองที่ไปเรียนต่อ:ปักกิ่ง

ชื่อ:เย้จ่านเฟย

ฉันชื่อเย้จ่านเฟย,ฉันเรียนภาษาจีนมาสองปีที่สถาบันขงจื้อ。หลังจากนั้นก็มาเรียนภาษาที่ประเทศจีนหนึ่งปี,ดังนั้นเลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การเรียนภาษาจีนรวมถึงการใช้ชีวืตที่ประเทศจีนให้ทุกๆคน。


ในปี 2010 เป็นปีที่ฉันเริ่มการเดินทางไปยังประเทศจีน,ความคิดนี้เริ่มมาจากที่ฉันสนใจภาษาจีนมานานแล้วและทางเล่าซือที่จีนก็แนะนำมาว่าให้ลองมาเรียนที่จีนดูหลังจากนั้นฉันเลยขอยื่นทุนเพื่อมาเรียนภาษาที่ประเทศจีน。
อันนี้เป็นความคิดของฉันในเรื่องการเรียนภาษา ถ้าเราต้องการที่จะเรียนภาษาใดภาษาหนึ่ง อะไรจะดีกว่าการที่ไปเรียนในประเทศที่ใช้ภาษานั้นๆเป็นภาษาแม่,ดังนั้นการมาเรียนที่ประเทศจีนนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ฉันต้องการมาตลอด。


ฉันเลือกที่จะมาเรียนต่อที่เมืองปักกิ่ง。ที่ปักกิ่งเป็นเมืองที่ใหญ่มาก,ทุกคนพูดภาษาจีนกันได้ชัดมากๆ การที่คุยกับคนจีนบ่อยก็จะทำให้ภาษาจีนเราพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว。ที่ประเทศจีนนั้นมีภาษาท้องถิ่นอยู่มากมาย แถมสำเนียงนั้นต่างกันมาก。การมาเรียนที่จีนนั้นฉันเลือกมหาวิทยาลัยที่มีประสบการณ์ในด้านการสอนนักศึกษาต่างชาติ สุดท้ายเลยเลือกมาเรียนที่ Beijing International Studies Universityหรือชื่อสั้นๆว่า เป่่ยไหว้。


ที่สนามบินนานาชาติปักกิ่งนั้นฉันได้เจอกับนักเรียนต่างชาติจากทั่วโลกเช่น รัสเซีย สวีเดน โปแลนด์ เป็นต้น。ใช้เวลาไม่นานเราก็รู้จักกัน พอมาถึงมาหวิทยาลัยก็ต้องลงทะเบียนเป็นอย่างแรกและหลังจากนั้นถึงจะได้เข้าหอพัก。


ที่ตั้งของมหาวิทยาลัยนี้ถือว่าค่อนข้างดีเลยเพราะว่าอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง,ไปเทียนอันเหมินก็สามารถนั่งรถไฟฟ้าไปได้แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น。จากมหาวิทยาลัยเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าแค่ประมาณสิบนาที。มหาวิทยาลัยใหญ่มากจนต้องแบ่งเป็นสองส่วน。
ตึกที่ฉันเรียนนั้นอยู่ที่มหาวิทยาลัยฝั่งตะวันตก。ตึกนี้เป็นตึกใหม่ ดูค่อนข้างหรูทีเดียว。ส่วนสำหรับหอพักนั้น ฉันต้องพูดว่าฉันค่อนข้างที่จะโชคดีเพราะว่าได้อยู่ในห้องที่ค่อนข้างใหม่,คล้ายๆกับโรงแรมเลย。และหอพักนั้นก็อยู่ใกล้กับตึกที่เรียนมาก เพราะว่าหอพักที่อื่นกว่าจะเดินมาถึงตึกเรียนนั้นจะต้องใช้เวลาประมาณ 20นาที บางคนถึงกับต้องขี่จักรยานมาเลยทีเดียว。มาถึงเรื่องโรงอาหาร อาหารที่นี่ค่อนข้างเยอะ อยู่มาประมาณหนึ่งเดือนแล้วก็ยังมีอาหารหลายอย่างที่ฉันยังไม่เคยลอง。อาหารก็ค่อนข้างถูกประมาณมื้อละเพียงไม่เกินสิบหยวน。ข้างๆโรงอาหารก็คือยิมกีฬาซึ่งมีสนามเยอะมากได้แก่ สนามเทนนิส สนามบาส  สระว่ายน้ำ คอร์ตวอลเล่ย์บอล。


การมาเรียนที่จีนนั้นค่อนข้างที่จะสนุกเพราะนอกจากเรื่องการเรียนภาษาจีนแล้วเราก็จะได้บรรยากาศในการเรียนกับนักเรียนต่างชาติด้วย,โดยที่ได้มีโอกาสเรียนรู้วัฒนธรรมประเทศอื่นด้วย。แค่ระยะเวลาสั้นๆฉันก็รู้จักเพื่อนคนต่างชาติได้เยอะเลย บางทีแค่เดือนออกจากหอพักก็ได้เพื่อนใหม่แล้ว。มันง่ายแบบนี้จริงๆ。ที่มหาวิทยาลัยนี้มีนักเรียนจากต่างประเทศมากมายเช่น ไทย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รัสเซีย เยอรมัน อเมริกาและอีกมากมาย。ยกตัวอย่างเพื่อนห้องข้างๆฉันก็เป็นคนเกาหลีใต้ นิสัยดีมาก สุภาพ เรียนร้อย。


มาถึงช่วงสอบ。แต่ข้อสอบถือว่าค่อนข้างง่ายโดยที่จะแบ่งเป็นสองพาร์ทคือการเขียนพินอินและการคุยบทสนทนากับทางเล่าซือ。
ล่าซือห้องฉันนิสัยดีมาก ค่อนข้างใจดี สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องเหมือนกับเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งเลย。การพูดคุยกับทางเล่าซือเลยเป็นเรื่องง่ายๆรวมไปถึงยังให้คำแนะนำต่างๆในการใช้ชีวิตที่จีน。


นักเรียนทุกคนมองเห็นถึงความสามารถในด้านการสอนของเล่าซือ。สามารถสอนนักศึกษาต่างชาติมาได้ในหลายๆปี เล่าซือที่นี่จะสอนเป็นภาษาจีนทั้งหมดยกเว้นห้องที่อยู่ในระดีบแรกๆ。ฉันเรียนอยู่ในห้องฟังเล่าซือรู้เรื่องเกือบทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องไปค้นหาในพจนานุกรม。
ตัวเองเลยคิดว่าภาษาจีนได้มีการพัฒนาแล้ว。เวลาไปเดินตามถนนข้างนอกมหาวิทยาลัยนั้นก็สามารถฟังคนจีนที่พูดกันรู้เรื่อง,ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องขอขอบคุณทางเล่าซืิอจริงๆ。


ฉันยังต้องขอบคุณเล่าซือที่สร้างบรรยากาศดีๆในห้องเรียนให้กับพวกเราทุกคน,•เพราะว่าบรรยากาศในห้องเรียนนั้นย่อมมีผลกับการเรียนของเรา,โดยที่เล่าซือยังบอกอีกว่าสิ่งที่สำคัญไม่ใช่ว่าเราสอบได้คะแนนมากเท่าไร แต่คือการที่เราได้เรียนแล้วเอาไปใช้ได้จริงๆเท่าไร。•


และยังมีอีกเรื่องที่ค่อนข้างน่าสนใจ,ที่เป่ยไหว้ ไม่ใช่แค่เล่าซือที่สามารถให้คะแนนนักเรียนได้ แต่นักเรียนก็สามารถให้คะแนนกับทางเล่าซือได้เช่นกัน。อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะว่าเป็นการดูการทำงานของทางเล่าซือด้วยว่าสอนนักเรียนเป็นอย่างไรบ้าง 。เพราะว่าทางเล่าซือต้องสอนให้นักเรียนสอบได้เกิน 60คะแนนจึงจะมีสิทธิ์สอนต่อได้ในเทอมต่อไป。


ในห้องเรียนฉันมีอยู่สามวิชาหลักก็คือ วิชาหลักภาษาจีน วิชาพูดภาษาจีนและวิชาเขียนภาษาจีน。นอกจากนี้ยังสามารถเลือกคาบเรียนเสริมได้เช่น ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เป็นต้น。ฉันเลือกคาบเสริมที่เป็นสอนเกี่ยวกับการสอบ HSK เพราะว่าบางทีฉันคิดว่าเนื่องจากเวลาตอนบ่ายที่เหลืออยู่มากคงดีกว่าที่จะเลือกเรียนคาบเสริม ซึ่งมีประโยชน์ต่อฉันในอนาคตอย่างแน่นอน。


นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังชอบหากิจกรรมเพิ่มเติมให้นักเรียนเช่น ปีนกำแพงเมืองจีน จัดงานดนตรี งานกีฬา หรือว่าพานักเรียนไปเที่ยวยังเมืองอื่นๆ。
ที่ประเทศจีนนั้นก็จะมีวันหยุดต่างๆเช่นกัน ยกตัวอย่างได้แก่วันหยุดชาติจีนในวันที่ 1ตุลาคม ที่ต้องหยุดเรียนหนึ่งสัปดาห์。วันหยุดในหน้าหนาวจะเริ่มในช่วงต้นเดือนมกราคมถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์。
เคยได้ยินที่คนจีนแต่งเพลงในช่วงที่จัดโอลิมปิกที่ปักกิ่งมั้ย เพลงที่ชื่อ ปักกิ่งต้อนรับพวกคุณ?คนจีนนิสัยเป็นกันเองมาก มีรอบนึงที่ฉันกับเพื่อนไปเดินในตัวเมือง พวกเราก็อยากที่จะถามแค่ชื่อของคนที่เราถามทางไปแต่เขาคนนั้นกลับหาข้อมูลให้พวกเราหมดว่าสถานที่นั้นต้องไปยังไง。ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากในการที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นในยามที่ต้องการ。


สุดท้ายนี้อยากให้คนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ในการมาเรียนต่อที่จีน,พวกคุณต้องถามตัวเองว่าอยากหรือไม่อยาก ถ้าอยากมาให้หยุดความคิดในด้านลบออกให้หมด การที่เราสามารถมาใช้ชีวิตที่ต่างประเทศนั้นถือว่าเป็นโอกาสที่ไม่มีอยู่บ่อย。แถมยังได้มีโอกาสมาเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆอีกด้วย。